
เจ้าอาวาส ลำดับที่ ๑ หลวงพ่อคง
พ.ศ. ๒๓๗๑ ถึง พ.ศ. ๒๔๓๑ รวมเป็นเจ้าอาวาส ๖๐ ปี
หลวงพ่อคงหรือบางคนเรียกท่านว่า “อาจารย์คง” นั้นท่านมีคุณวิเศษหลายอย่าง จะขอนำมาเล่าสักอย่างหนึ่ง คือการปลุกเสกพระเครื่อง ได้รับคำบอกเล่ามาว่าท่านทำ หมากสง ที่แห้งติดอยู่กับต้นคาคอทั้งหลาย ท่านนำมาแกะเป็นรูปพระปิดทวารทั้งเก้าปลุกเสกอยู่ตลอดไตรมาส หรือสามเดือนในระหว่างเข้าพรรษา ท่านได้มอบให้แก่ศิษย์ของท่านไปหลายคน มีคุณวิเศษเมตตามหานิยมคุ้มครองปกป้องอันตรายให้กับผู้ที่มีให้ความเคารพบูชา ผู้เขียนได้มีโอกาสเห็นองค์หนึ่ง นับว่าโชคดีที่ได้เคารพสักการะท่าน วิชาปลุกเสกพระเครื่องของหลวงพ่อคง เข้าใจว่าหลวงพ่อไปล่น่าจะได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงพ่อคงแน่แท้ เพราะหลวงพ่อไปล่เป็นศิษย์ที่ได้รับการไว้วางใจเป็นอันมากขนาดที่เรียกว่าฝากผีฝากไข้เอาไว้กับหลวงพ่อไปล่ซึ่งจะได้กล่าวถึงในตอนต่อไป
ได้พูดมาบ้างแล้วว่าหลวงพ่อคงหรืออาจารย์คงเป็นพระที่มีเมตตาอารีมากต่อ พระ เณร ศิษย์วัดตลอดจนญาติโยมที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นอันมาก แม้แต่หมูหมากาไก่ท่านก็ให้ทานอยู่เป็นประจำ เมื่อพูดถึงความเมตตาปราณีของท่าน จึงใคร่ขอนำมาเล่าสักเล็กน้อยเป็นการชี้ให้เห็นว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นดังกล่าว.
“อ้ายนวล” วัวของหลวงพ่อคง มีชาวราชบุรีคนหนึ่งเป็นหัวหน้าพ่อค้าวัว ได้นำวัวบรรทุกเรือมาจะเอาไปขายที่บางกอก (กรุงเทพฯ) บังเอิญเรือชนถูกตอใต้น้ำท้องเรือทะลุเรือกำลังจะจมลงในน้ำไม่ช้า เจ้าของวัวตัดเชือกที่ผูกวัวออกและแล้วเรือก็จมลง บรรดาวัวต่างก็ว่ายน้ำเพ่นพ่าน ส่วนมากจะพากันมาขึ้นอยู่ที่ลานวัด เมื่อเจ้าของเรือซ่อมเรือเรียบร้อยแล้วก็มานำวัวไปลงเรือ เพื่อเดินทางไปบางกอกต่อไป
อาจารย์คงท่านสงสารวัวท้องแก่ตัวหนึ่ง จึงขอซื้อไว้ ต่อมาแม่วัวคลอดลูกวัวเป็นตัวผู้ มีสีนวลน่ารักมาก ท่านอาจารย์คงเรียกมันว่า “อ้ายนวล” ท่านได้ให้อาหารกับมันเป็นประจำ เมื่อมันเป็นวัวเปลี่ยว (หนุ่ม) ที่มีนิสัยว่านอนสอนง่ายผู้ที่มาทำบุญที่วัดใครจะขี่เล่นมันก็ยอมให้ขี่ ไม่เลือกว่าหญิงชายเด็กผู้ใหญ่ มันจึงเป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป
ครั้นต่อมา เมื่อมันเปลี่ยวนานปีขึ้น (หนุ่มแก่) นิสัยของมันเริ่มขับไล่ผู้คนที่เดินทางผ่านวัดโดยไม่มีสำรับ หรือปิ่นโตติดมือมาแสดงว่าจะมาทำบุญที่วัด ชาวบ้านจึงหลอกมันด้วยการถือปิ่นโตผ่านวัดเพราะสะดวกดีกว่าสำรับ เจ้านวลทำความลำบากยุ่งยากให้กับชาวบ้านหมู่บางบอนและหมู่บ้านต้นหงอนไก่ไม่น้อยทีเดียว
ชาวบ้านหลายคนคิดจะกำจัดมัน ด้วยการซุ่มดักยิงด้วยปืนแก๊ป เมื่อมันออกไปหาหญ้ากินที่หลังวัด เจ้านวลถูกยิงครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำคนยิงกลับถูกเจ้านวลไล่ขวิดเอาจนเข็ดขยาดไปตามๆ กัน
การเกะกะเกเรของเจ้านวลทำให้อาจารย์คงไม่สบายใจ ท่านพยายามผูกโซ่ล่ามพรวน แต่มันก็หลุดหนีไปได้เป็นประจำ ในที่สุดอาจารย์คง จึงเลิกให้อาหารเจ้านวลปล่อยให้มันหาหญ้ากินเองตามลำพัง
คนที่เจ้านวลเกลียดนักหนาคือทิดเมือง ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เจ้านวลเห็นเป็นต้องไล่ขวิดไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลสักเท่าไร อยู่มาวันหนึ่งในฤดูร้อนน้ำแห้ง ขณะที่ทิดเมืองกำลังหาปลาไหลอยู่กลางทุ่งนาห่างไกลจากหลังวัดเป็นอันมาก เจ้านวลมาจากไหนไม่ทราบวิ่งเข้าไปไล่ทิดเมืองทันที ทิดเมืองหนีลงไปอยู่ในหลุมปลาไหลเงื้อมีดป้องกันตัวอยู่ เจ้านวลไม่กล้าเข้าไปขวิด แต่มันเฝ้าดูทิดเมืองตั้งแต่บ่ายจนใกล้ค่ำ ทิดเมืองก็หิว ทั้งยุงก็รุมกัดตบแทบไม่ทัน ทิดเมืองจึงตัดสินใจจะวิ่งเข้าป่า พอดีเจ้านวลออกไปเล็มหญ้าห่างจากหลุมปลาออกไป ทิดเมืองได้ทีขึ้นจากหลุมปลาไหลแล้วรีบวิ่งเข้าป่าตามที่ตั้งใจไว้ แต่พ้นสายตาของเจ้านวลไม่ มันวิ่งดักหน้าทิดเมือง ทิดเมืองจำเป็นต้องวิ่งลงไปในหลุมปลาไหลอีกครั้งหนึ่ง เจ้านวลไล่กวดทิดเมืองมาติดๆ ทิดเมืองกระโจนลงไปในหลุมปลาไหลแล้วรีบหมุนตัวกลับขึ้นมาเพื่อคอยระวังตัว ทันใดนั้นเจ้านวลก็ก้มหัวลงไปขวิด ด้วยสัญชาตญาณของการป้องกันตัวของทิดเมืองได้ยกมีดฟันไปถูกกำดัน (ท้ายทอยหรือต้นคอ) เจ้านวลสะดุ้งเฮือกค่อยๆ ถอยหลังเบนหน้าหายไปในความมืด
ครั้นเช้าเจ้านวลไปนอนหายใจยาวฟิต...ๆ.....ๆ....ๆ.....อยู่ข้างวิหารซึ่งมันจะมักนอนอยู่เป็นประจำ อาจารย์คงได้ลงมาดูมันท่านได้ยื่นมือไปลูบหัวเจ้านวลพร้อมกับพูดว่า “เอ็ง รามเขาดีนัก ถึงคราวของเอ็งไม่มีใครช่วยได้” พูดจบแล้วท่านก็จากมันไป
หลวงพ่อคงลาสิกขา หลวงพ่อคงเป็นผู้ที่รักความสะอาดเป็นอย่างมาก ท่านจะถือผ้าชุบอาบของท่านตลอดเวลา ก่อนจะนั่งทุกครั้งท่านจะต้องเอาผ้าชุบอาบรองนั่งเสมอ ดังนั้นบริเวณวัดเสนาสนะในวัดของท่านจึงเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดร่มรื่นและสงบเงียบ เหมาะสมเป็นสถานที่ประกอบกิจทางพระพุทธศาสนายิ่งนัก หลวงพ่อคงมีความเมตตาอารีต่อคนและสัตว์เป็นอย่างมาก ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว หลวงพ่อจึงเป็นที่เคารพรักของประชาชนทั้งใกล้และไกล เป็นอันมากขึ้นตามลำดับ
แต่แล้วอยู่มาเย็นวันหนึ่งขณะที่ท่านดูแลเด็กวัดกินอาหารมื้อเย็นอยู่นั้น ท่านอาจารย์คง เกิดหิวข้าวเย็นเป็นอันมาก ถึงกับเป็นลมหน้ามืดลงหมดสติไปชั่วครู่ อาการหิวข้าวเย็นของท่านเป็นอยู่เช่นดังกล่าวมาทุกๆเย็น ในที่สุดอาจารย์คงปรึกษากับศิษย์ของท่านคือ พระไปล่ ฉนฺทสโร ว่า “ฉันเห็นจะต้องลาสิขาจากบรรพชิตมาครองเพศคฤหัสถ์ ขอให้ท่านรับหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสดูแลกิจการของวัดแทนฉันต่อไป” พระไปล่ปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ขอให้ท่านรักษาและดูแลอาการของโรคไปก่อน ซึ่งอาจจะรักษาหายได้ แต่อาการของโรคหิวอาหารเย็นก็ไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อยมิหนำซ้ำอาการยังหนักมากขึ้น อาการหน้ามืดหมดสติก็ดูจะหนักและนานขึ้นราวกับว่าจะขาดใจตาย ด้วยความเคารพรักของพระไปล่ที่มีต่อท่านอาจารย์คง อาจารย์ของท่าน พระไปล่จึงรับปากเป็นเจ้าอาวาสวัดกำแพงแทนอาจารย์ของท่านสืบต่อมาตั้งแต่ครั้งนั้น
เมื่ออาจารย์คงลาสิขาแล้ว ข้าวเย็นที่ว่าหิวแทบจะขาดใจตายนั้น กลับหายราวกับปลิดทิ้ง ท่านไม่เคยกินข้าวเย็นแม้แต่มื้อเดียว ท่านคงพักรักษาศีลแปดอยู่ที่วัดกำแพงต่อไป พระไปล่คอยดูแลเอาใจใส่อาจารย์คงเป็นอย่างดี ไม่ต่างอะไรกับบุตรที่ดีคอยดูแลบิดามารดาก็ว่าได้ พระไปล่เจ้าอาวาสใหม่ เรียกอาจารย์ของท่านว่า “ท่านคฤหัสถ์” ตามไปด้วยเมื่อผู้เขียนมาเรียนหนังสืออยู่วัดกับหลวงพ่อไปล่ เห็นชามอ่างลูกหนึ่งวางอยู่บนตั่งตัวย่อมๆ ข้างโต๊ะหมู่บูชา ด้านนอกของชามเคลือบสีน้ำตาลเข้มส่วนด้านในเป็นลายผักชีสีน้ำเงิน ผู้เขียนชอบใจอยากจะเอาไปใช้ หลวงพ่อไปล่ห้ามไม่ให้เอาออกไปท่านพูดว่า “อย่าเอาไป ชามอ่างลูกนี้เป็นชามกินข้าวของท่าน คฤหัสถ์” ผู้เขียนไม่กล้านำออกมาเอาชามลูกนั้นออกมาใช้ ผู้เขียนทราบมาก่อนว่า หลวงพ่อไปล่มีท่านคฤหัสถ์หรืออาจารย์คงเป็นอาจารย์ของท่าน พ่อของผู้เขียนเคยเล่าให้ฟัง ก่อนที่พ่อจะนำมาฝากเรียนหนังสือที่วัดกำแพง
ต่อมาเมื่อท่านคฤหัสถ์ถึงแก่กรรม หลวงพ่อไปล่เป็นประธานจัดการฌาปนกิจศพ ณ เมรุวัดกำแพงอย่างสมเกียรติยิ่ง มีพระเณรในวัดกำแพงและวัดอื่นๆ ทั้งที่เป็นศิษย์ เป็นผู้ที่เคารพนับถือท่านอาจารย์คง ตลอดจนชาวบ้านต่างพากันมาร่วมงานศพกันเป็นอันมาก.